ปัจจุบันพันธุ์ไก่เนื้อได้พัฒนาไปมากแล้ว
ไม่เหมือนในอดีตที่นำไก่พื้นเมืองมาเลี้ยงเป็นไก่เนื้อ
พันธุ์ไก่เนื้อที่เลี้ยงในเมืองไทยแบ่งออกเป็น 2 พันธุ์ด้วยกัน คือ
ไก่เนื้อพันธุ์แท้และไก่เนื้อพันธุ์ลูกผสม
ไก่เนื้อพันธุ์แท้
เป็นไก่ที่ได้รับการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์มาอย่างต่อเนื่องจนมีลักษณะประจำพันธุ์ที่คงที่ ส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงไว้เพื่อผสมพันธุ์ผลิตไก่ลูกผสมที่มีคุณภาพดี
พันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในไทยมีดังนี้
1. พันธุ์พลีมัทร็อคขาว (White Plymouth Rock) ลักษณะขนมี สีขาวทั้งตัว หงอนจักรผิวหนังมีสีเหลือง นิยมเลี้ยงเป็นไก่เนื้อ เพราะมีขนสีขาว เมื่อฆ่าแล้วจะได้ไก่ที่ผิวสะอาดกว่าไก่เนื้อที่มีสีขนต่าง ๆ สายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นพวกขนงอกช้า แต่ในปัจจุบันได้รับการผสมคัดเลือกให้ขนงอกเร็ว เป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เจริญเติบโตเร็ว ให้ไข่เปลือกสีน้ำตาล นิยมใช้ไก่พันธุ์พลีมัทร็อคขาวเป็นต้นพันธุ์ในการผสมข้ามเพื่อผลิตไก่เนื้อสายแม่
2. พันธุ์คอร์นิช (Cornish) เป็นไก่ที่มีหงอนถั่ว ขาสั้น ลำตัวกว้าง
อกกว้างกล้าม เนื้อเต็ม ผิวหนังมีสีเหลือง
จัดเป็นพวกไก่เนื้อ น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่เพศผู้หนัก 4.40 กิโลกรัม
เพศเมียหนัก 3.30
กิโลกรัม ให้ไข่ฟองเล็กไข่ เปลือกไข่สีน้ำตาล
ให้ไข่ปีละประมาณ 150 ฟอง เริ่มให้ไข่เมื่ออายุประมาณ
6-7 เดือน มีเปอร์เซ็นต์การฟักออกต่ำ ปัจจุบันใช้ไก่พันธุ์คอร์นิชเป็นไก่ต้นพันธุ์สำหรับผสมเพื่อผลิตไก่เนื้อเป็นการค้า
เมื่อเอาไก่คอร์นิชผสมกับไก่พันธุ์พลีมัทร็อคลายเพศเมีย หรือไก่นิวแฮมเชียร์ หรือไก่พลีมัทร็อคขาว
ลูกเพศเมียที่ได้จะเป็นไก่ไข่ที่ให้ไข่ฟองใหญ่ เปอร์เซ็นต์การฟักออกดี
และใช้ผสมเพื่อประโยชน์ทางด้านคุณภาพเนื้อด้วย
3. พันธุ์นิวแฮมเชียร์ (Newhampshire)
ลักษณะขนมีสีน้ำตาลอ่อน หงอนจักร ผิวหนังสีเหลือง
ในตอนแรกมีชื่อเสียงในเรื่องไข่ตก แต่ต่อมาได้รับการยอมรับว่าเป็นไก่เนื้อคุณภาพดี
จึงนิยมใช้เป็นไก่ต้นพันธุ์ในการผลิตไก่เนื้อ โดยใช้ไก่นิวแฮมเชียร์เพศเมียผสมกับไก่เพศผู้ของไก่พันธุ์เนื้ออื่น ๆ เพื่อผลิตลูกผสมไก่เนื้อ
ข้อเสียของไก่พันธุ์นี้ คือ ผิวหนังมีตุ่มขนสีเข้ม ทำให้ซากที่ถอนขนแล้วดูไม่สะอาดหรือไม่สวย
การจัดการไก่เนื้อ
การจัดการการเลี้ยงดู
การจัดการระยะกก
ระยะกกเป็นระยะสำคัญที่ต้องการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เนื่องจากลูกไก่ยังเล็กเกิดปัญหาสุขภาพและตายได้ง่าย ซึ่งมีขั้นตอนการจัดการดูแล ดังนี้
1.1 การเตรียมโรงเรือนและสถานที่กก
ก่อนนำไก่เข้าเลี้ยงต้องเตรียมโรงเรือนให้สะอาดเพื่อลดโอกาสที่จะได้รับเชื้อโรค การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคโรงเรือนให้พิจารณาทำตามลำดับก่อนและหลัง ดังนี้
1.1.1 นำอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกจากโรงเรือน
1.1.2 นำวัสดุรองพื้นเก่าออกจากโรงเรือน
1.1.3 ล้างโรงเรือน
1.1.4 ฆ่าเชื้อทุกซอกทุกมุมในโรงเรือน
1.1.5 ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ อุปกรณ์ ทิ้งตากแดดไว้หรือเก็บในที่สะอาด
1.1.6 ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อระบบให้น้ำและระบบให้อาหารทั้งระบบ
1.1.7 นำวัสดุรองพื้นใหม่เข้าโรงเรือน ซึ่งส่วนมากใช้แกลบ เกลี่ยวัสดุรองพื้นให้มีความหนา 8 – 10 เซนติเมตร แล้วพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นละอองลงบนวัสดุรองพื้นก่อนนำลูกไก่ เข้า
1.1.8 ติดตั้งแผงกั้นและเครื่องกกลูกไก่ โดยพยายามไม่ให้มีซอกมุม เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกไก่เข้าไปนอนสุมกัน แผงล้อมกกควรทำความสะอาดง่ายและมีลักษณะทึบไม่มีรูหรือตาข่าย เพื่อช่วยในการเก็บความร้อนจากเครื่องกก ในช่วง 1 – 3 วันแรก อาจใช้พื้นที่การเลี้ยงลูกไก่ที่ความหนาแน่นลูกไก่ 20 – 30 ตัวต่อตารางเมตร เครื่องกกไฟฟ้าหรือกกแก๊สปกติจะใช้กกลูกไก่ 500 ตัวต่อ 1 เครื่องกก ควรขยายแผงกั้นกกทุก ๆ 2 วัน เพื่อให้มีพื้นที่เหมาะสมให้ลูกไก่อยู่อย่างสบาย ในการติดตั้งเครื่องกกควรมีระดับความสูงที่เหมาะสมกับชนิดของเครื่องกกโดยให้ลูกไก่ได้รับความอบอุ่นที่เหมาะสมที่สุด เปิดเครื่องกกอย่างน้อย 1 – 2 ชั่วโมง ก่อนลูกไก่มาถึงฟาร์ม
1.1.9 จัดเตรียมอุปกรณ์ให้อาหารและน้ำให้พร้อมและเพียงพอกับจำนวนลูกไก่ ในการวางอุปกรณ์ให้อาหารและน้ำ ควรวางสลับกัน การวางอุปกรณ์ให้น้ำควรมีวัสดุรองให้สูง ขึ้นประมาณ 5 เซนติเมตร เพื่อลดปัญหาการปนเปื้อนของวัสดุรองพื้นลงน้ำ
1.2 การจัดการเมื่อลูกไก่มาถึงฟาร์ม
เมื่อลูกไก่มาถึงฟาร์ม ควรนำกล่องลูกไก่เข้าโรงเรือนทันที ชั่งน้ำหนักลูกไก่ ต่อกล่อง ตรวจดูสภาพลูกไก่ นับจำนวนลูกไก่ จดบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ ปล่อยลูกไก่ลงกกและควรให้น้ำผสมวิตามินให้ไก่กินอย่างทั่วถึง หลังจากไก่กินน้ำประมาณ 30 นาที จึงวางถาดอาหารแล้วโรยอาหารลงในถาดให้ไก่กินอย่างทั่วถึง ควรให้อาหารน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งเพราะจะช่วยกระตุ้นให้ลูกไก่กินอาหารได้มากขึ้น เมื่อลูกไก่อายุได้ 6 – 7 วัน ควรเปลี่ยนอุปกรณ์การให้น้ำ เป็นแบบจุ๊บและอุปกรณ์ให้อาหารเป็นแบบถังอาหาร
1.3 การให้น้ำและอาหาร
การให้น้ำจะต้องมีให้ไก่กินตลอดเวลา อุปกรณ์ให้น้ำต้องสะอาดและเพียงพอกับความต้องการของไก่ การให้อาหารไก่เล็กควรให้น้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันการหกหล่นและอาหารสดอยู่เสมอ อาหารจะต้องมีให้ไก่กินตลอดเวลา
1.4 การให้ยาและวิตามิน
ในสภาวะปกติลูกไก่ที่สมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือวิตามินใด ๆ การให้ยามักให้ในกรณีที่ลูกไก่ไม่ค่อยสมบูรณ์หรือสงสัยว่ามีเชื้อแบคทีเรีย มักให้ 3 – 5 วัน การให้วิตามินเพื่อเสริมสิ่งที่ร่างกายต้องการซึ่งอาจมีไม่พอในสูตรอาหาร หรือเกรงว่าสิ่งที่มีอยู่ในอาหารอาจเสื่อมคุณภาพลง โดยเฉพาะในกรณีลูกไก่คุณภาพไม่ค่อยดีนัก
1.5 การจัดการแสงสว่าง
ลูกไก่ต้องการแสงที่ค่อนข้างสว่างในช่วงอายุสัปดาห์แรก เพื่อให้ลูกไก่เห็นน้ำ และอาหารอย่างชัดเจน และเป็นการกระตุ้นการกินน้ำและอาหารของลูกไก่ด้วย ความเข้มของแสงไม่น้อยกว่า 50 ลักซ์ ที่ระดับตัวลูกไก่ เมื่อลูกไก่อายุ 7 วันแรก
1.6 การควบคุมอุณหภูมิ
ลูกไก่อายุ 7 วันแรก มีขีดจำกัดในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เมื่อลูกไก่อายุ 1 วัน อุณหภูมิของร่างกายประมาณ 39.7 องศาเซลเซียส และจะค่อย ๆ ปรับสูงขึ้น อุณหภูมิที่ร้อนเกินไปมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ขณะที่อุณหภูมิเย็นเกินไปไก่จะสุมกันและทับกันตาย ไก่ที่เหลือจะโตช้าและมีขนาดไม่สม่ำเสมอ อุณหภูมิที่เย็นเกินไปยังเป็นสาเหตุโน้มนำให้ลูกไก่ท้องมานมากขึ้น อุณหภูมิในบริเวณพื้นที่การกกต้องไม่ต่ำกว่า 31 องศาเซลเซียส สำหรับลูกไก่ในช่วงอายุสัปดาห์แรก
การเลี้ยงไก่ระยะต่างๆ
การเลี้ยงไก่เล็ก อายุ 1-6 สัปดาห์
การกกลูกไก่ให้ดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าหากอากาศร้อนเกินไปให้ดับไฟกก เช่น กลางวันใกล้เที่ยงและบ่ายๆ ส่วนกลางคืนจะต้องให้ไฟกกตลอดคืน ในระหว่างกกจะต้องมีน้ำสะอดาดให้กินตลอดเวลา และวางอยู่ใกล้รางอาหาร ทำความสะอาดภาชนะใส่น้ำวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและบ่าย ลูกไก่ 100 ตัว ต้องการรางอาหารที่กินได้ทั้งสองข้างยาว 6 ฟุต และขวดน้ำขนาด 1 แกลลอน จำนวน 3 อัน ทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลทั้ง 3 ชนิด พร้อมๆ กัน จากนั้นก็หยอดวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลซ้ำอีกเมื่ออายุ 21 วัน การให้อาหารลูกไก่ระยะะกก (1-14 วันแรก) ควรมห้อาหารบ่อยครั้งใน 1 วัน อาจแบ่งเป็นตอนเช้า 2 ครั้ง ตอนบ่าย 2 ครั้ง และตอนค่ำอีก 1 ครั้ง การให้อาหารบ่อยครั้งจะช่วยกระตุ้นให้ไก่กินอาหารดีขึ้นอีกทั้งอาหารจะใหม่สดเสมอ จำนวนอาหารที่ให้ต้องไม่มากจนเหลือค้างราง หรือล้นราง ซึ่งจะทำให้อาหารตกหล่น ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละสัปาดาห์ และน้ำหนักไก่โดยเฉลี่ยดังแสดงไว้ในตารางที่ การให้อาหารลูกไก่ระยะะกก (1-14 วันแรก) ควรมห้อาหารบ่อยครั้งใน 1 วัน อาจแบ่งเป็นตอนเช้า 2 ครั้ง ตอนบ่าย 2 ครั้ง และตอนค่ำอีก 1 ครั้ง การให้อาหารบ่อยครั้งจะช่วยกระตุ้นให้ไก่กินอาหารดีขึ้นอีกทั้งอาหารจะใหม่สดเสมอ จำนวนอาหารที่ให้ต้องไม่มากจนเหลือค้างราง หรือล้นราง ซึ่งจะทำให้อาหารตกหล่น ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละสัปาดาห์ และน้ำหนักไก่โดยเฉลี่ยดังแสดงไว้ในตารางที่
ตารางที่ 1 น้ำหนักและปริมาณอาหารผสมที่ใช้เลี้ยงลูกไก่อายุ 0-6 สัปดาห์
อายุลูกไก่
|
น้ำหนักตัว
(กรัม/ตัว) |
จำนวนอาหารที่ให้
(กรัม/ตัว/วัน) |
การจัดการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
สัปดาห์ที่ 1
สัปดาห์ที่ 2 สัปดาห์ที่ 3 สัปดาห์ที่ 4 สัปดาห์ที่ 5 สัปดาห์ที่ 6 |
65
123 200 314 442 577 |
7
18 21 30 32 33 | - หยอดวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิล หลอดลมอักเสบติดต่อ ฝีดาษเมื่ออายุ 1-7 วัน - อัตราการตายไม่เกิน 3% - ชั่งน้ำหนักเฉลี่ยเมื่อสิ้นสัปดาห์ โดยการสุ่มตัวอย่าง 10% เพื่อหาค่าเฉลี่ยเปรียบเทียบกับตารางมาตรฐาน |
การกกลูกไก่ให้ดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าหากอากาศร้อนเกินไปให้ดับไฟกก เช่น กลางวันใกล้เที่ยงและบ่ายๆ ส่วนกลางคืนจะต้องให้ไฟกกตลอดคืน ในระหว่างกกจะต้องมีน้ำสะอดาดให้กินตลอดเวลา และวางอยู่ใกล้รางอาหาร ทำความสะอาดภาชนะใส่น้ำวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและบ่าย ลูกไก่ 100 ตัว ต้องการรางอาหารที่กินได้ทั้งสองข้างยาว 6 ฟุต และขวดน้ำขนาด 1 แกลลอน จำนวน 3 อัน ทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลทั้ง 3 ชนิด พร้อมๆ กัน จากนั้นก็หยอดวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลซ้ำอีกเมื่ออายุ 21 วัน
การเลี้ยงลูกไก่ระยะเจริญเติบโต อายุ 7-14 สัปดาห์
การเลี้ยงไก่ระยะเจริญเติบโตระหว่าง 7-14 สัปดาห์ เป็นการเลี้ยงบนพื้นดินปล่อยฝูงๆ ละ 100-200 ตัว
ในอัตราส่วนไก่ 1 ตัว ต่อ พื้นที่ 1.2 ตารางฟุต หรือไก่ 9 ตัว ต่อตารางเมตร พื้นคอกรองด้วยแกลบ
หรือวัสดุดูดซับความชื้นได้ดี การเลี้ยงไก่ระยะนี้ไม่ต้องแยกไก่ตัวผู้ออกจากไก่ตัวเมีย สามารถเลี้ยงปนได้
เพื่อขายเป็นไก่เนื้อพื้นเมือง โดยจะต้องเลี้ยงแบบให้อาหารกินเต็มที่ มีอาหารในถังหรือรางอาหารตลอดเวลา
เพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้น้ำหนักตามที่ตลาดต้องการ แต่การเลี้ยงไว้เพื่อขยายพันธุ์ เป็นพ่อแม่พันธุ์จะต้อง
เลี้ยงแบบจำกัดอาหารให้ไก่กินโดยจะปรับจำนวนอาหารที่ให้ทุกๆ สัปดาห์และจะต้องปรับเพิ่มหรือลด
โดยดูจากน้ำหนักของไก่โดยเฉลี่ยเป็นเครื่องชี้แนะให้น้ำสะอาดกินตลอดเวลา
ทำความสะอาดขวดน้ำวันละ 2 ครั้ง คือเช้าและบ่าย ลูกไก่ระยะนี้ต้องการรางอาหาร
ที่มีลักษณะยาวที่กินได้ทั้งสองข้าง ยาว 4 นิ้วต่อไก่ 1 ตัว หรือรางอาหารชนิดถังที่ใช้แขวนจำนวน 3 ถังต่อไก่ 100 ตัว
ต้องการรางน้ำอัตโนมัติยาว 4 ฟุต และน้ำ 24-32 ลิตรต่อไก่ 100 ตัว
ตารางที่ 2 แสดงน้ำหนักมีชีวิตและจำนวนอาหารที่จำกัดให้ไก่รุ่นเพศเมียอายุ 7-14 สัปดาห์ กินในแต่ละสัปดาห์
เลี้ยงในคอกบนพื้นดินเลี้ยงปล่อยเป็นฝูงๆ ละ 100-150 ตัว พื้นที่ 1 ตารางเมตรเลี้ยงไก่สาวได้ 5-6 ตัว พอไก่สาวเริ่มเข้าอายุ 15 สัปดาห์ ให้ตัดปากไก่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ตัดปากบนให้สั้นกว่าปากล่าง 1 ใน 3 ด้วยเครื่องตัดปากไก่ และจี้แฟลด้วยความร้อน เพื่อป้องกันเลือดออกมาก เสร็จแล้วให้ทำวัคซีนป้องกันโรคหลอดลมอักเสบติดต่อ ขั้นตอนต่อไปนี้ให้ถ่ายพยาธิภายในด้วยยาประเภท Peperazine ชนิดเม็ดทุกๆ ตัวๆ ละ 1 เม็ด สุดท้าย คือ อาบน้ำยาฆ่าเหา ไรไก่ โดยใช้ยาฆ่าแมลงชนิดผง ชือ เซฟวิน 85 ตวงยา 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร นำไก่ลงจุ่มน้ำใช้มือถูให้ขนเปียกจนทั่วลำตัว และก่อนนำไก่ขึ้นจากน้ำยา ก็ให้จับหัวไก่มุดลงในน้ำก่อนอีกครั้งหนึ่ง เป็นเสร็จวิธีการฆ่าเหาในไก่
การเลี้ยงไก่สาวระยะนี้จะต้องมีการควบคุมจำนวนอาหารที่ให้กิน สุ่มชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์ เปรียบเทียบตารางมาตรฐาน ให้น้ำกินตลอดเวลา คัดไก่ป่วยออกจากฝูงเมื่อเห็นไก่แสดงอาการผิดปกติ ทำความสะอาดคอกและกลับแกลบหรือวัสดุรองพื้นเสมอเมื่อเห็นว่าพื้นคอกเปียกชื้น แฉะ การรักษาพื้นคอกไม่ให้ชื้น และแห้งอยู่เสมอๆ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคไก่ ไก่จะแข็งแรง เลี้ยงง่าย ตายยาก เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่เกษตรกรควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ และไม่จำเป็นจะต้องใช้ยามาก ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงต้องสร้าคอกไก่ให้สามารถระบายความชื้นออกไป และมีอากาศสดชื่นเข้ามาแทน คอกไก่ไม่ควรจะมืดทึบ อับลม อับแสง การให้แสงสว่างแก่ไก่ในเล้าระยะนี้ จ้ต้องให้ไม่เกิน 11-12 ชั่วโมง ถ้าให้แสงสว่างมากกว่านี้จะทำให้ไก่ไข่เร็วขึ้นก่อนกำหนดและอัตราการไข่ทั้งปีไม่ดี แต่จะดีเฉพาะในช่วง 4 เดือนแรกเท่านั้น ดังนั้น แสงสว่างจึงต้องเอาใจใส่และจัดการให้ถูกต้อง กล่าวคือในเดือนที่เวลากลางวันยาว เช่น เดือนมีนาคม-ตุลาคม ไม่ต้องให้แสงสว่างเพิ่มในเวลาหัวค่ำหรือกลางคืน โดยหลักการแล้วแสงสว่างธรรมชาติ 8-12 ชั่วโมงเป็นใช้ได้ไม่ต้องเพิ่มไฟฟ้า แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวที่มืดเร็วจำเป็นจะต้องให้แสงสว่างเพิ่ม แต่รวมแล้วไม่ให้เกิน 11-12 ชั่วโมงต่อวัน ความเข้มของแสงสว่างที่พอเหมาะคือ 1 ฟุตแคนเดิ้ลที่ระดับตัวไก่ การให้อาหารจะต้องจำกัดให้ไก่สาวกิน พร้อมทั้งตรวจสอบน้ำหนักไก่ทุกสัปดาห์ ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า 7.00-8.00 น. และบ่าย 14.00-15.00 น. ให้น้ำกินตลอดเวลา และทำความสะอาดรางน้ำเช้าและบ่าย เวลาเดียวกับที่ให้อาหาร อาหารที่ใช้เลี้ยงไก่สาวเป็นอาหารที่มีโปรตีน 12% พลังงานใช้ประโยชน์ได้ 2,900 M.E Kcal/Kg แคลเซี่ยม 0.6% ฟอสฟอรัส 0.35% เกลือ 0.55% และอุดมด้วยแร่ธาตุไวตามินที่ต้องการ ตารางที่ 3 แสดงน้ำหนักไก่สาว จำนวนอาหารที่จำกัดให้กินอายุ 15-20 สัปดาห์
ตารางที่ 4 แสดงน้ำหนักตัวและจำนวนอาหารที่จำกัดให้ไก่ตัวผู้อายุ 15-20 สัปดาห์
ที่มา : http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/chic3mai.html โรคและการรักษาโรค
โรคไข้หวัดนก (Avain Influenza )
โรคไข้หวัดนกเป็นโรคระบาดของสัตว์ปีกทุกชนิด แบ่งเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง ชนิดรุนแรงสามารถแพร่ติดต่อถึงคนได้ ความคงทน เชื้อไวรัสถูกทำลายได้ด้วยความร้อน แสงแดดความแห้ง และยาฆ่าเชื้อโรค อาหารปรุงสุก 70 องศาเซลเซียส ขึ้นไปจะฆ่าเชื้อโรคได้ ไวรัสจะมีความทนทานมากขึ้นในช่วงอากาศเย็นและความชื้นสูง โดยอาจอยู่ในมูลสัตว์ น้ำและสิ่งแวดล้อม ได้หลายวันหรืออาจนานเป็นเดือน การติดต่อ ในฝูงสัตว์ปีก ได้รับเชื้อโรคจากภายนอกโดยพาหะนำโรค เช่น นก สัตว์ปีกอื่น ยานพาหนะ คน เมื่อได้รับเชื้อแล้วถูกขับออกมาทางมูล และแพร่ระบาดต่อไปจากสัตว์มาสู่คน กลุ่มเสี่ยงได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยง คนชำแหละสัตว์ปีก และคนที่สัมผัสคลุกคลีใกล้ชิดกับสัตว์ปีก โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ การติดต่อเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย ![]()
ระยะฟักตัว ทั้งในคนและสัตว์ โดยเฉลี่ย 3-5 วัน ไม่เกิน 7 วัน อาการ สัตว์ปีกตามคำนิยามอาการโรคไข้หวัดนก มีอัตราการตายอย่างน้อยร้อยละ 5 ใน 2 วัน ร่วมกับแสดงอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตายกะทันหัน มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น หายใจลำบาก หน้าบวม น้ำตาไหล อาการทางระบบประสาท เช่น ชัก คอบิด ท้องเสีย หรือขนยุ่ง ซึม ไม่กินอาหาร ไข่ลด ไข่รูปร่างผิดปกติ หงอน เหนียงสีคล้ำ หรือหน้าแข้งมีจุดเลือดออก
การรักษา ในสัตว์ปีกไม่มีการรักษา เนื่องจากจะเป็นตัวแพร่เชื้อโรคต่อไปได้จึงใช้วิธีทำลาย การป้องกันในภาวะปกติ 1. สร้างโรงเรือนแบบปิด หรือใช้มุ้งและตาข่ายคลุม เพื่อป้องกันนกเข้ามากินอาการ ถ่ายมูลและสัมผัสกับสัตว์ปีก ทำความสะอาดในโรงเรือนหรือเล้า กำจัดเศษอาหารเพื่อป้องกันให้สัตว์อื่นๆ เช่น นก หนู ที่อาจนำเชื้อโรคเข้ามา 2. เจ้าของสัตว์ปีกต้องเฝ้าระวังอาการป่วยในสัตว์ปีกที่เลี้ยงอยู่ หากพบมีอาการป่วยให้แจ้ง สัตวแพทย์ท้องที่ไปตรวจวินิจฉัยทันที 3. ดูแลป้องกันตนเอง โดยเฉพาะเด็ก ไม่ให้สัมผัสสัตว์ป่วยหรืออุปกรณ์การเลี้ยง เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อและติดโรคได้ ควรหมั่นล้างมือทุกครั้งเมื่อจะรับประทานอาหาร 4. หากจำเป็นต้องขนย้ายสัตว์ปีกให้ติดต่อขอใบอนุญาตเคลื่อนย้ายจากสัตวแพทย์ท้องที่ 5. หมั่นติดตามสภาวะการระบาดและปฏิบัติตามคำแนะนำของทางราชการ การควบคุมป้องกันในภาวะมีการระบาด 1. ในฝูงสัตว์ที่เกิดโรค ต้องทำลายสัตว์ปีกทั้งหมด 2. ทำความสะอาดและพ่นยาฆ่าเชื้อโรคให้ทั่วฟาร์มหรือพื้นที่เลี้ยงและบริเวณโดยรอบ 3. ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกและซากสัตว์ปีกทุกชนิดในรัศมี 10 กิโลเมตรจากจุดเกิดโรค
โรคนิวคาสเซิล (Newcastle)
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อเอเวียนพารามิกโซไวรัส ซีโรไทป์ 1 มีคุณสมบัติในการจับกลุ่มตกตะกอนกับเม็ดเลือดแดง (hemagglutination)
ซึ่งคุณสมบัตินี้มีประโยชน์ในการชันสูตรโรค ความต้านทานของไวรัสในสิ่งแวดล้อม
การติดต่อ
การหายใจ การกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน เกิดในไก่ทุกอายุ
ระยะฟักตัว
ระยะฟักตัวของโรคตามธรรมชาติ 2-15 วัน หรืออาจนานกว่า 15 วันก็ได้ โดยทั่วไปเฉลี่ย 5-6 วัน
อาการสำคัญ
ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์เชื้อ ชนิดรุนแรงจะทำให้ไก่ตายเป็นจำนวนมากทันที โดยจะแสดงอาการทางระบบหายใจ หายใจลำบาก
มีเสียงดัง ไอ จาม ซึม เบื่ออาหาร ตัวสกปรก ทวารหนักเปื้อนอุจจาระ กล้ามเนื้อสั่น หัวสั่น คอบิด ปีกตก อัมพาตก่อนตาย เดินโซเซล้มลง ไก่ที่แสดงอาการทางประสาทแล้วจะไม่รอด อัตราการเป็นโรค 60-100 เปอร์เซ็นต์ ไก่ที่รอดจะแคระแกร็น คอบิด ปีกตกตลอดอายุ
การรักษา/ป้องกัน
ไม่มีการรักษาโดยตรง อาจให้วิตามินและสารอิเลคโตรไลท์ละลายน้ำให้ไก่กิน ไก่จะฟื้นโรคได้เร็วขึ้นและร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะเช่น
ยาซัลฟาละลายน้ำให้กินเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย การป้องกันสามารถทำได้โดยการทำวัคซีน
โรคฝีดาษ (fowl pox)
สาเหตุ เกิดจากโฟวล์พ็อกไวรัส การติดต่อ โดยการสัมผัส เช่น อยู่รวมฝูงกัน ทางบาดแผลหรือรอยขีดข่วน หรือไวรัสจากไก่ป่วยปะปนในน้ำและอาหาร ยุงหรือแมลงดูดเลือดเป็นพาหะของโรค ระยะฟักตัว ระยะฟักตัวไม่แน่นอน พบว่าปกติจะอยู่ประมาณ 4-10 วัน อาการสำคัญ ฝีดาษแห้ง เป็นตุ่มนูน หรือสะเก็ดบริเวณผิวหนังที่ไม่มีขน เช่น หัว คอ รอบทวาร ขา ฝีดาษเปียก มักเป็นแผ่นนูนสีเหลือง พบภายในปาก ไซนัส โพรงจมูก คอ กล่องเสียง หลอดลมมีผลต่อการหายใจ การกลืนอาหาร ทำให้ไก่ตายได้
การรักษา/ป้องกัน ใช้ทิงเจอร์ทาที่ฝีวันละ 1-2 ครั้ง (ระวังเข้าตาไก่) ให้ยาปฏิชีวนะละลายน้ำให้กินเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน รวมทั้งไวตามินเกลือแร่ ช่วยให้ไก่แข็งแรงขึ้น ไก่ที่หายจากการเป็นโรคจะมีภูมิคุ้มตลอดอายุ การป้องกันทำได้โดยการทำวัคซีน โดยไก่ที่ได้รับวัคซีนจะมีความคุ้มโรคนาน 1 ปี
โรคอหิวาต์เป็ด-ไก่ (Fowl cholera)
สาเหตุ
เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ พาสจูเรลล่า มัลโตซิด้า
การติดต่อ
ติดต่อโดยตรงจากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน การหายใจ การแพร่เชื้อผ่านไข่ หรือพาหะ
ระยะฟักตัว
2 สัปดาห์
อาการสำคัญ
ทั้งรุนแรง และเรื้อรังแต่ส่วนมากมักเป็นรุนแรง ทำให้ไก่และเป็ดตายอย่างรวดเร็ว โดยไม่แสดงอาการให้เห็น ในบางรายที่ไม่ตายทันทีทันใด
จะป่วย หงอยซึม เบื่ออาหาร นอนหมอบ อุจจาระเหลวสีเขียวปนเหลือง หายใจไม่สะดวก กระหายน้ำจัด ไก่จะมีหงอนและเหนียงสีคล้ำ และตายใน 2-3 วัน หรืออาจพบไข้สูง มีน้ำมูก น้ำลายไหลเป็นเมือก หัวตก หน้าและหงอนสีม่วงคล้ำ หายใจลำบากและถี่ เบื่ออาหาร กระหายน้ำ ท้องร่วง ขนร่วง ต่อมาในไก่หรือเป็ดที่ตาย เมื่อเปิดซากดูพบว่ามีจุดเลือดที่หัวใจ และที่ตับจะมีจุดเนื้อตายเล็กๆ มีขาวคล้ายผงชอล์กกระจายอยู่ทั่วไปบนเนื้อตับ ที่ลำไส้จะบวมพอง อักเสบแดง ชนิดเรื้อรังเป็ดจะมีอาการป่วยนานเป็นเดือนๆ มีอาการหงอยซึม พบลักษณะบวมที่เหนียง โพรงจมูก ข้อขา ข้อปีก ฝ่าเท้าและบริเวณก้น ตาแฉะ หายใจหอบ
การรักษา/ป้องกัน
ยาปฏิชีวนะ เช่น เจนตามัยซิน เอ็นโรฟล้อกซาซิน หรือให้ยาซัลฟาละลายน้ำให้กิน ติดต่อกัน 2-3 วัน
การป้องกันสามารถทำได้โดยการทำวัคซีน
โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ (Infectious Bronchitis)
เกิดจากโคโรนาไวรัส เป็นไวรัสอาร์เอ็นเอชชนิดสายเดี่ยว ไวรัสชนิดนี้มีความไวต่อยาฆ่าเชื้อโรคทั่วไป และไม่ก่อโรคในคน
เป็นโรคติดต่อทางระบบหายใจ เป็นได้ในไก่ทุกอายุ แต่โรคจะรุนแรงในลูกไก่ ส่วนไก่ใหญ่ไม่แสดงอาการป่วย แต่อัตราไข่จะลดลง การติดต่อ ไก่ได้รับเชื้อโดยการหายใจหรือจากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปน รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือและเครื่องใช้ ระยะฟักตัว ไก่จะแสดงอาการป่วยภายหลังจากได้รับเชื้อ 18-36 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อและทางที่ได้รับ อาการสำคัญ ไก่แสดงอาการทางระบบหายใจเป็นหลัก โดยมีอาการหายใจแบบเสียงกรน ไอ จาม และมีน้ำมูก ซึ่งอาการเหล่านี้มีความรุนแรงในลูกไก่ จะทำให้ไข่ลดในช่วงท้ายๆ ของการไข่ เปลือกไข่ และรูปร่างไข่ผิดปกติ หรือไม่ไข่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ ไก่ป่วยจะเป็นตัวแพร่โรคได้ เนื่องจากมีเชื้อโรคอยู่ในตัวไก่ได้นาน การติดเชื้อผ่านไข่อาจเกิดขึ้นได้ โดยทั่วไปการติดเชื้อตามธรรมชาติมีระยะฟักตัวของโรคอย่างน้อย 36 ชั่วโมง ลูกไก่อาจตายเพราะมีน้ำเมือกอุดอยู่ในหลอดลม ส่วนในไก่ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้อัตราการตายจะน้อย แต่จะมีผลกระทบเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
การรักษา/ ป้องกัน ไม่มีการรักษา การป้องกันสามารถทำได้โดยการทำวัคซีน ![]() | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ไก่ขนสีขาวกับไก่ขนสีดำในสายพันธ์เดียวกันจะมีน้ำต่างกันกี่เปอร์เซนต์คะ
ตอบลบ