วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การจัดการไก่เนื้อ ( การเลี้ยง )

ปัจจุบันพันธุ์ไก่เนื้อได้พัฒนาไปมากแล้ว ไม่เหมือนในอดีตที่นำไก่พื้นเมืองมาเลี้ยงเป็นไก่เนื้อ พันธุ์ไก่เนื้อที่เลี้ยงในเมืองไทยแบ่งออกเป็น 2 พันธุ์ด้วยกัน คือ ไก่เนื้อพันธุ์แท้และไก่เนื้อพันธุ์ลูกผสม


ไก่เนื้อพันธุ์แท้ เป็นไก่ที่ได้รับการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์มาอย่างต่อเนื่องจนมีลักษณะประจำพันธุ์ที่คงที่ ส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงไว้เพื่อผสมพันธุ์ผลิตไก่ลูกผสมที่มีคุณภาพดี พันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในไทยมีดังนี้
1.  พันธุ์พลีมัทร็อคขาว (White Plymouth Rock) ลักษณะขนมี สีขาวทั้งตัว หงอนจักรผิวหนังมีสีเหลือง นิยมเลี้ยงเป็นไก่เนื้อ เพราะมีขนสีขาว เมื่อฆ่าแล้วจะได้ไก่ที่ผิวสะอาดกว่าไก่เนื้อที่มีสีขนต่าง ๆ สายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นพวกขนงอกช้า แต่ในปัจจุบันได้รับการผสมคัดเลือกให้ขนงอกเร็ว เป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ เจริญเติบโตเร็ว ให้ไข่เปลือกสีน้ำตาล นิยมใช้ไก่พันธุ์พลีมัทร็อคขาวเป็นต้นพันธุ์ในการผสมข้ามเพื่อผลิตไก่เนื้อสายแม่


2.  พันธุ์คอร์นิช (Cornish) เป็นไก่ที่มีหงอนถั่ว ขาสั้น ลำตัวกว้าง อกกว้างกล้าม เนื้อเต็ม ผิวหนังมีสีเหลือง จัดเป็นพวกไก่เนื้อ น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่เพศผู้หนัก 4.40 กิโลกรัม เพศเมียหนัก 3.30 กิโลกรัม ให้ไข่ฟองเล็กไข่ เปลือกไข่สีน้ำตาล ให้ไข่ปีละประมาณ 150 ฟอง           เริ่มให้ไข่เมื่ออายุประมาณ 6-7 เดือน มีเปอร์เซ็นต์การฟักออกต่ำ ปัจจุบันใช้ไก่พันธุ์คอร์นิชเป็นไก่ต้นพันธุ์สำหรับผสมเพื่อผลิตไก่เนื้อเป็นการค้า เมื่อเอาไก่คอร์นิชผสมกับไก่พันธุ์พลีมัทร็อคลายเพศเมีย หรือไก่นิวแฮมเชียร์ หรือไก่พลีมัทร็อคขาว ลูกเพศเมียที่ได้จะเป็นไก่ไข่ที่ให้ไข่ฟองใหญ่ เปอร์เซ็นต์การฟักออกดี และใช้ผสมเพื่อประโยชน์ทางด้านคุณภาพเนื้อด้วย

3.  พันธุ์นิวแฮมเชียร์ (Newhampshire) ลักษณะขนมีสีน้ำตาลอ่อน หงอนจักร ผิวหนังสีเหลือง ในตอนแรกมีชื่อเสียงในเรื่องไข่ตก แต่ต่อมาได้รับการยอมรับว่าเป็นไก่เนื้อคุณภาพดี จึงนิยมใช้เป็นไก่ต้นพันธุ์ในการผลิตไก่เนื้อ โดยใช้ไก่นิวแฮมเชียร์เพศเมียผสมกับไก่เพศผู้ของไก่พันธุ์เนื้ออื่น ๆ เพื่อผลิตลูกผสมไก่เนื้อ ข้อเสียของไก่พันธุ์นี้ คือ ผิวหนังมีตุ่มขนสีเข้ม ทำให้ซากที่ถอนขนแล้วดูไม่สะอาดหรือไม่สวย



การจัดการไก่เนื้อ

การจัดการการเลี้ยงดู 

  การจัดการระยะกก

                        ระยะกกเป็นระยะสำคัญที่ต้องการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก  เนื่องจากลูกไก่ยังเล็กเกิดปัญหาสุขภาพและตายได้ง่าย  ซึ่งมีขั้นตอนการจัดการดูแล  ดังนี้
            1.1    การเตรียมโรงเรือนและสถานที่กก
                                  ก่อนนำไก่เข้าเลี้ยงต้องเตรียมโรงเรือนให้สะอาดเพื่อลดโอกาสที่จะได้รับเชื้อโรค  การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคโรงเรือนให้พิจารณาทำตามลำดับก่อนและหลัง  ดังนี้
                                  1.1.1     นำอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกจากโรงเรือน
                                  1.1.2     นำวัสดุรองพื้นเก่าออกจากโรงเรือน
                                  1.1.3     ล้างโรงเรือน
                                  1.1.4     ฆ่าเชื้อทุกซอกทุกมุมในโรงเรือน
                                  1.1.5     ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ  อุปกรณ์  ทิ้งตากแดดไว้หรือเก็บในที่สะอาด
                                  1.1.6     ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อระบบให้น้ำและระบบให้อาหารทั้งระบบ
                                  1.1.7     นำวัสดุรองพื้นใหม่เข้าโรงเรือน  ซึ่งส่วนมากใช้แกลบ เกลี่ยวัสดุรองพื้นให้มีความหนา  8 – 10  เซนติเมตร  แล้วพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นละอองลงบนวัสดุรองพื้นก่อนนำลูกไก่ เข้า
                                  1.1.8     ติดตั้งแผงกั้นและเครื่องกกลูกไก่  โดยพยายามไม่ให้มีซอกมุม  เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกไก่เข้าไปนอนสุมกัน  แผงล้อมกกควรทำความสะอาดง่ายและมีลักษณะทึบไม่มีรูหรือตาข่าย  เพื่อช่วยในการเก็บความร้อนจากเครื่องกก  ในช่วง 1 – 3  วันแรก  อาจใช้พื้นที่การเลี้ยงลูกไก่ที่ความหนาแน่นลูกไก่  20 – 30  ตัวต่อตารางเมตร  เครื่องกกไฟฟ้าหรือกกแก๊สปกติจะใช้กกลูกไก่  500  ตัวต่อ  1  เครื่องกก  ควรขยายแผงกั้นกกทุก ๆ  2 วัน  เพื่อให้มีพื้นที่เหมาะสมให้ลูกไก่อยู่อย่างสบาย  ในการติดตั้งเครื่องกกควรมีระดับความสูงที่เหมาะสมกับชนิดของเครื่องกกโดยให้ลูกไก่ได้รับความอบอุ่นที่เหมาะสมที่สุด  เปิดเครื่องกกอย่างน้อย  1 – 2  ชั่วโมง  ก่อนลูกไก่มาถึงฟาร์ม
                                  1.1.9     จัดเตรียมอุปกรณ์ให้อาหารและน้ำให้พร้อมและเพียงพอกับจำนวนลูกไก่ ในการวางอุปกรณ์ให้อาหารและน้ำ  ควรวางสลับกัน  การวางอุปกรณ์ให้น้ำควรมีวัสดุรองให้สูง   ขึ้นประมาณ  5  เซนติเมตร  เพื่อลดปัญหาการปนเปื้อนของวัสดุรองพื้นลงน้ำ

             1.2    การจัดการเมื่อลูกไก่มาถึงฟาร์ม
                                  เมื่อลูกไก่มาถึงฟาร์ม  ควรนำกล่องลูกไก่เข้าโรงเรือนทันที  ชั่งน้ำหนักลูกไก่    ต่อกล่อง  ตรวจดูสภาพลูกไก่  นับจำนวนลูกไก่  จดบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ  ปล่อยลูกไก่ลงกกและควรให้น้ำผสมวิตามินให้ไก่กินอย่างทั่วถึง  หลังจากไก่กินน้ำประมาณ  30  นาที  จึงวางถาดอาหารแล้วโรยอาหารลงในถาดให้ไก่กินอย่างทั่วถึง  ควรให้อาหารน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งเพราะจะช่วยกระตุ้นให้ลูกไก่กินอาหารได้มากขึ้น  เมื่อลูกไก่อายุได้ 6 – 7 วัน  ควรเปลี่ยนอุปกรณ์การให้น้ำ    เป็นแบบจุ๊บและอุปกรณ์ให้อาหารเป็นแบบถังอาหาร


1.3    การให้น้ำและอาหาร
                                  การให้น้ำจะต้องมีให้ไก่กินตลอดเวลา  อุปกรณ์ให้น้ำต้องสะอาดและเพียงพอกับความต้องการของไก่  การให้อาหารไก่เล็กควรให้น้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง  เพื่อป้องกันการหกหล่นและอาหารสดอยู่เสมอ  อาหารจะต้องมีให้ไก่กินตลอดเวลา


                1.4    การให้ยาและวิตามิน
                                  ในสภาวะปกติลูกไก่ที่สมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือวิตามินใด ๆ การให้ยามักให้ในกรณีที่ลูกไก่ไม่ค่อยสมบูรณ์หรือสงสัยว่ามีเชื้อแบคทีเรีย   มักให้  3 – 5 วัน  การให้วิตามินเพื่อเสริมสิ่งที่ร่างกายต้องการซึ่งอาจมีไม่พอในสูตรอาหาร หรือเกรงว่าสิ่งที่มีอยู่ในอาหารอาจเสื่อมคุณภาพลง  โดยเฉพาะในกรณีลูกไก่คุณภาพไม่ค่อยดีนัก




                 1.5    การจัดการแสงสว่าง
                                  ลูกไก่ต้องการแสงที่ค่อนข้างสว่างในช่วงอายุสัปดาห์แรก  เพื่อให้ลูกไก่เห็นน้ำ และอาหารอย่างชัดเจน และเป็นการกระตุ้นการกินน้ำและอาหารของลูกไก่ด้วย ความเข้มของแสงไม่น้อยกว่า  50  ลักซ์  ที่ระดับตัวลูกไก่  เมื่อลูกไก่อายุ  7  วันแรก

                1.6    การควบคุมอุณหภูมิ
                                  ลูกไก่อายุ  7  วันแรก  มีขีดจำกัดในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย  เมื่อลูกไก่อายุ  1  วัน  อุณหภูมิของร่างกายประมาณ  39.7  องศาเซลเซียส  และจะค่อย ๆ ปรับสูงขึ้น  อุณหภูมิที่ร้อนเกินไปมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน  ขณะที่อุณหภูมิเย็นเกินไปไก่จะสุมกันและทับกันตาย  ไก่ที่เหลือจะโตช้าและมีขนาดไม่สม่ำเสมอ  อุณหภูมที่เย็นเกินไปยังเป็นสาเหตุโน้มนำให้ลูกไก่ท้องมานมากขึ้น  อุณหภูมิในบริเวณพื้นที่การกกต้องไม่ต่ำกว่า  31  องศาเซลเซียส  สำหรับลูกไก่ในช่วงอายุสัปดาห์แรก


การเลี้ยงไก่ระยะต่างๆ 

     การเลี้ยงไก่เล็ก อายุ 1-6 สัปดาห์

          ลูกไก่ที่จะเลี้ยงขุนขายเนื้อส่งตลาด หรือพวกที่เลี้ยงไว้ทำพันธุ์ในอนาคตนั้น จำเป็นจะต้องมีการดูแลเลี้ยงดูอย่างดี เริ่มจากลูกไก่ออกจากตู้ฟักให้ทำการตัดปากบนลูกไก่ 1 ใน 3 แล้วนำไปกกด้วยเครื่องกกลูกไก่ เพื่อให้อบอุ่นด้วยอุณหภูมิกก 95 องศาF ในสัปดาห์ที่ 1 แล้วลดอุณหภูมิลงสัปดาห์ละ 5 องศาF กกลูกไก่เป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ ลูกไก่ 1 ตัว ต้องการพื้นที่ในห้องกกลูกไก่ 0.5 ตารางฟุต หรือเท่ากับ 22 ตัว/ตารางเมตร  

          การกกลูกไก่ให้ดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าหากอากาศร้อนเกินไปให้ดับไฟกก เช่น กลางวันใกล้เที่ยงและบ่ายๆ ส่วนกลางคืนจะต้องให้ไฟกกตลอดคืน ในระหว่างกกจะต้องมีน้ำสะอดาดให้กินตลอดเวลา และวางอยู่ใกล้รางอาหาร ทำความสะอาดภาชนะใส่น้ำวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและบ่าย ลูกไก่ 100 ตัว ต้องการรางอาหารที่กินได้ทั้งสองข้างยาว 6 ฟุต และขวดน้ำขนาด 1 แกลลอน จำนวน 3 อัน ทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลทั้ง 3 ชนิด พร้อมๆ กัน จากนั้นก็หยอดวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลซ้ำอีกเมื่ออายุ 21 วัน          การให้อาหารลูกไก่ระยะะกก (1-14 วันแรก) ควรมห้อาหารบ่อยครั้งใน 1 วัน อาจแบ่งเป็นตอนเช้า 2 ครั้ง ตอนบ่าย 2 ครั้ง และตอนค่ำอีก 1 ครั้ง  การให้อาหารบ่อยครั้งจะช่วยกระตุ้นให้ไก่กินอาหารดีขึ้นอีกทั้งอาหารจะใหม่สดเสมอ จำนวนอาหารที่ให้ต้องไม่มากจนเหลือค้างราง หรือล้นราง ซึ่งจะทำให้อาหารตกหล่น  ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละสัปาดาห์ และน้ำหนักไก่โดยเฉลี่ยดังแสดงไว้ในตารางที่           การให้อาหารลูกไก่ระยะะกก (1-14 วันแรก) ควรมห้อาหารบ่อยครั้งใน 1 วัน อาจแบ่งเป็นตอนเช้า 2 ครั้ง ตอนบ่าย 2 ครั้ง และตอนค่ำอีก 1 ครั้ง  การให้อาหารบ่อยครั้งจะช่วยกระตุ้นให้ไก่กินอาหารดีขึ้นอีกทั้งอาหารจะใหม่สดเสมอ จำนวนอาหารที่ให้ต้องไม่มากจนเหลือค้างราง หรือล้นราง ซึ่งจะทำให้อาหารตกหล่น  ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละสัปาดาห์ และน้ำหนักไก่โดยเฉลี่ยดังแสดงไว้ในตารางที่ 


ตารางที่ 1  น้ำหนักและปริมาณอาหารผสมที่ใช้เลี้ยงลูกไก่อายุ 0-6 สัปดาห์

อายุลูกไก่
น้ำหนักตัว
(กรัม/ตัว)
จำนวนอาหารที่ให้
(กรัม/ตัว/วัน)
การจัดการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
สัปดาห์ที่ 1
สัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 3
สัปดาห์ที่ 4
สัปดาห์ที่ 5
สัปดาห์ที่ 6
65
123
200
314
442
577
7
18
21
30
32
33
- หยอดวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิล หลอดลมอักเสบติดต่อ ฝีดาษเมื่ออายุ 1-7 วัน
- อัตราการตายไม่เกิน 3%
- ชั่งน้ำหนักเฉลี่ยเมื่อสิ้นสัปดาห์ โดยการสุ่มตัวอย่าง 10% เพื่อหาค่าเฉลี่ยเปรียบเทียบกับตารางมาตรฐาน

          การกกลูกไก่ให้ดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าหากอากาศร้อนเกินไปให้ดับไฟกก เช่น กลางวันใกล้เที่ยงและบ่ายๆ ส่วนกลางคืนจะต้องให้ไฟกกตลอดคืน ในระหว่างกกจะต้องมีน้ำสะอดาดให้กินตลอดเวลา และวางอยู่ใกล้รางอาหาร ทำความสะอาดภาชนะใส่น้ำวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและบ่าย ลูกไก่ 100 ตัว ต้องการรางอาหารที่กินได้ทั้งสองข้างยาว 6 ฟุต และขวดน้ำขนาด 1 แกลลอน จำนวน 3 อัน ทำวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลทั้ง 3 ชนิด พร้อมๆ กัน จากนั้นก็หยอดวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิลซ้ำอีกเมื่ออายุ 21 วัน



         การเลี้ยงลูกไก่ระยะเจริญเติบโต อายุ 7-14 สัปดาห์

           การเลี้ยงไก่ระยะเจริญเติบโตระหว่าง 7-14 สัปดาห์ เป็นการเลี้ยงบนพื้นดินปล่อยฝูงๆ ละ 100-200 ตัว 
ในอัตราส่วนไก่ ตัว ต่อ พื้นที่ 1.2 ตารางฟุต หรือไก่ ตัว ต่อตารางเมตร พื้นคอกรองด้วยแกลบ
หรือวัสดุดูดซับความชื้นได้ดี การเลี้ยงไก่ระยะนี้ไม่ต้องแยกไก่ตัวผู้ออกจากไก่ตัวเมีย สามารถเลี้ยงปนได้
 เพื่อขายเป็นไก่เนื้อพื้นเมือง โดยจะต้องเลี้ยงแบบให้อาหารกินเต็มที่ มีอาหารในถังหรือรางอาหารตลอดเวลา
 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้น้ำหนักตามที่ตลาดต้องการ แต่การเลี้ยงไว้เพื่อขยายพันธุ์ เป็นพ่อแม่พันธุ์จะต้อง
เลี้ยงแบบจำกัดอาหารให้ไก่กินโดยจะปรับจำนวนอาหารที่ให้ทุกๆ สัปดาห์และจะต้องปรับเพิ่มหรือลด 
โดยดูจากน้ำหนักของไก่โดยเฉลี่ยเป็นเครื่องชี้แนะให้น้ำสะอาดกินตลอดเวลา 
ทำความสะอาดขวดน้ำวันละ ครั้ง คือเช้าและบ่าย ลูกไก่ระยะนี้ต้องการรางอาหาร
ที่มีลักษณะยาวที่กินได้ทั้งสองข้าง ยาว นิ้วต่อไก่ ตัว หรือรางอาหารชนิดถังที่ใช้แขวนจำนวน ถังต่อไก่ 100 ตัว 
ต้องการรางน้ำอัตโนมัติยาว ฟุต และน้ำ 24-32 ลิตรต่อไก่ 100 ตัว 

ตารางที่ 2  แสดงน้ำหนักมีชีวิตและจำนวนอาหารที่จำกัดให้ไก่รุ่นเพศเมียอายุ 7-14 สัปดาห์ กินในแต่ละสัปดาห์

อายุไก่
(สัปดาห์)
น้ำหนักกรัม
(กรัม/ตัว)
จำนวนอาหาร
(กรัม/ตัว/วัน)
การจัดการอื่นที่เกี่ยวข้อง
7
8
9
10
11
12
13
14
713
861
1,011
1,155
1,334
1,457
1,557
1,631
38
55
50
55
60
70
72
61
ตัดปากไก่ 1/3

ฉีดวัคซีนเอ็ม พี และอหิวาต์ไก่ พร้อมหยอดวัคซีนหลอดลมอักเสบติดต่อ
ให้แสงสว่างไม่เกินวันละ 12 ชั่วโมง
เปลี่ยนวัสดุรองพื้นทุกๆ รุ่นที่นำไก่รุ่นใหม่เข้ามาเลี้ยง
   การเลี้ยงไก่สาวอายุ 15-20 สัปดาห์

      เลี้ยงในคอกบนพื้นดินเลี้ยงปล่อยเป็นฝูงๆ ละ 100-150 ตัว พื้นที่ 1 ตารางเมตรเลี้ยงไก่สาวได้ 5-6 ตัว พอไก่สาวเริ่มเข้าอายุ 15 สัปดาห์ ให้ตัดปากไก่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ตัดปากบนให้สั้นกว่าปากล่าง 1 ใน 3 ด้วยเครื่องตัดปากไก่ และจี้แฟลด้วยความร้อน เพื่อป้องกันเลือดออกมาก เสร็จแล้วให้ทำวัคซีนป้องกันโรคหลอดลมอักเสบติดต่อ ขั้นตอนต่อไปนี้ให้ถ่ายพยาธิภายในด้วยยาประเภท Peperazine ชนิดเม็ดทุกๆ ตัวๆ ละ 1 เม็ด สุดท้าย คือ อาบน้ำยาฆ่าเหา ไรไก่ โดยใช้ยาฆ่าแมลงชนิดผง ชือ เซฟวิน 85 ตวงยา 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร นำไก่ลงจุ่มน้ำใช้มือถูให้ขนเปียกจนทั่วลำตัว และก่อนนำไก่ขึ้นจากน้ำยา ก็ให้จับหัวไก่มุดลงในน้ำก่อนอีกครั้งหนึ่ง เป็นเสร็จวิธีการฆ่าเหาในไก่
          การเลี้ยงไก่สาวระยะนี้จะต้องมีการควบคุมจำนวนอาหารที่ให้กิน สุ่มชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์ เปรียบเทียบตารางมาตรฐาน ให้น้ำกินตลอดเวลา คัดไก่ป่วยออกจากฝูงเมื่อเห็นไก่แสดงอาการผิดปกติ ทำความสะอาดคอกและกลับแกลบหรือวัสดุรองพื้นเสมอเมื่อเห็นว่าพื้นคอกเปียกชื้น แฉะ การรักษาพื้นคอกไม่ให้ชื้น และแห้งอยู่เสมอๆ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคไก่ ไก่จะแข็งแรง เลี้ยงง่าย ตายยาก เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่เกษตรกรควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ และไม่จำเป็นจะต้องใช้ยามาก ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงต้องสร้าคอกไก่ให้สามารถระบายความชื้นออกไป และมีอากาศสดชื่นเข้ามาแทน คอกไก่ไม่ควรจะมืดทึบ อับลม อับแสง
          การให้แสงสว่างแก่ไก่ในเล้าระยะนี้ จ้ต้องให้ไม่เกิน 11-12 ชั่วโมง ถ้าให้แสงสว่างมากกว่านี้จะทำให้ไก่ไข่เร็วขึ้นก่อนกำหนดและอัตราการไข่ทั้งปีไม่ดี แต่จะดีเฉพาะในช่วง 4 เดือนแรกเท่านั้น ดังนั้น แสงสว่างจึงต้องเอาใจใส่และจัดการให้ถูกต้อง กล่าวคือในเดือนที่เวลากลางวันยาว เช่น เดือนมีนาคม-ตุลาคม ไม่ต้องให้แสงสว่างเพิ่มในเวลาหัวค่ำหรือกลางคืน โดยหลักการแล้วแสงสว่างธรรมชาติ 8-12 ชั่วโมงเป็นใช้ได้ไม่ต้องเพิ่มไฟฟ้า แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวที่มืดเร็วจำเป็นจะต้องให้แสงสว่างเพิ่ม แต่รวมแล้วไม่ให้เกิน 11-12 ชั่วโมงต่อวัน ความเข้มของแสงสว่างที่พอเหมาะคือ 1 ฟุตแคนเดิ้ลที่ระดับตัวไก่
          การให้อาหารจะต้องจำกัดให้ไก่สาวกิน พร้อมทั้งตรวจสอบน้ำหนักไก่ทุกสัปดาห์ ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า 7.00-8.00 น. และบ่าย 14.00-15.00 น. ให้น้ำกินตลอดเวลา และทำความสะอาดรางน้ำเช้าและบ่าย เวลาเดียวกับที่ให้อาหาร อาหารที่ใช้เลี้ยงไก่สาวเป็นอาหารที่มีโปรตีน 12% พลังงานใช้ประโยชน์ได้ 2,900 M.E Kcal/Kg แคลเซี่ยม 0.6% ฟอสฟอรัส 0.35% เกลือ 0.55% และอุดมด้วยแร่ธาตุไวตามินที่ต้องการ


ตารางที่ 3  แสดงน้ำหนักไก่สาว จำนวนอาหารที่จำกัดให้กินอายุ 15-20 สัปดาห์



อายุไก่สาว
(สัปดาห์)
น้ำหนักตัว
(กรัม/ตัว)
จำนวนอาหารที่ให้
(กรัม/ตัว/วัน)
การจัดการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
15
16
17
18
19
20
1,608
1,541
1,662
1,737
1,784
1,861
64
66
68
70
72
76
- ตัดปาก, หยอดวัคซีนหลอดลมอักเสบติดต่อ
- ถ่ายพยาธิและอาบน้ำฆ่าเหา ไรไก่
- ให้แสงสว่างไม่เกิน 11-12 ชม./วัน
- คัดไก่ป่วยออกเป็นระยะๆ ควบคุมน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน

ตารางที่ 4  แสดงน้ำหนักตัวและจำนวนอาหารที่จำกัดให้ไก่ตัวผู้อายุ 15-20 สัปดาห์
อายุไก่สาว
(สัปดาห์)
น้ำหนักตัว
(กรัม/ตัว)
จำนวนอาหารที่ให้
(กรัม/ตัว/วัน)
การจัดการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
15
16
17
18
19
20
1,730
1,820
1,910
2,000
2,130
2,220
80
83
86
90
95
99
- ตัดปาก, หยอดวัคซีนหลอดลมอักเสบติดต่อ
- ถ่ายพยาธิภายนอกและภายใน
- ให้แสงสว่างไม่เกิน 11-12 ชม./วัน
- ควบคุมน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน

ที่มา : http://www.dld.go.th/service/chicken%203%20type/chic3mai.html



โรคและการรักษาโรค

 โรคไข้หวัดนก (Avain Influenza )
     โรคไข้หวัดนกเป็นโรคระบาดของสัตว์ปีกทุกชนิด แบ่งเป็นชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง ชนิดรุนแรงสามารถแพร่ติดต่อถึงคนได้













สาเหตุ               เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซ่า เอ

ความคงทน    เชื้อไวรัสถูกทำลายได้ด้วยความร้อน แสงแดดความแห้ง และยาฆ่าเชื้อโรค อาหารปรุงสุก 70 องศาเซลเซียส 

ขึ้นไปจะฆ่าเชื้อโรคได้ ไวรัสจะมีความทนทานมากขึ้นในช่วงอากาศเย็นและความชื้นสูง โดยอาจอยู่ในมูลสัตว์ น้ำและสิ่งแวดล้อม
ได้หลายวันหรืออาจนานเป็นเดือน

การติดต่อ
    ในฝูงสัตว์ปีก ได้รับเชื้อโรคจากภายนอกโดยพาหะนำโรค เช่น นก สัตว์ปีกอื่น ยานพาหนะ คน     เมื่อได้รับเชื้อแล้วถูกขับออกมาทางมูล 

และแพร่ระบาดต่อไปจากสัตว์มาสู่คน กลุ่มเสี่ยงได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยง คนชำแหละสัตว์ปีก และคนที่สัมผัสคลุกคลีใกล้ชิดกับสัตว์ปีก 
โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ การติดต่อเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย
 แผนผัง การติดต่อของโรคทางตรงและทางอ้อมในการนำโรคไข้หวัดนกระหว่างฟาร์มหรือบ้านที่เกิดโรคกับฟาร์มหรือบ้านที่ยังไม่เกิดโรค

ระยะฟักตัว
      ทั้งในคนและสัตว์ โดยเฉลี่ย 3-5 วัน ไม่เกิน 7 วัน

อากา

      สัตว์ปีกตามคำนิยามอาการโรคไข้หวัดนก มีอัตราการตายอย่างน้อยร้อยละ 5 ใน 2 วัน ร่วมกับแสดงอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตายกะทันหัน มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น หายใจลำบาก หน้าบวม น้ำตาไหล อาการทางระบบประสาท เช่น ชัก คอบิด ท้องเสีย หรือขนยุ่ง ซึม ไม่กินอาหาร ไข่ลด ไข่รูปร่างผิดปกติ หงอน เหนียงสีคล้ำ หรือหน้าแข้งมีจุดเลือดออก
 
ตายกะทันหัน
 
ผิวหนังบริเวณหน้าเป็นสีคล้ำ หงอนหรือเหนียงบวม มีสีคล้ำ
 
มีจุดเลือดออกบริเวณขาแข็ง
 
ตาขุ่น

หัวบวม                                                     มีอาหารชักก่อนตาย

การรักษา
    ในสัตว์ปีกไม่มีการรักษา เนื่องจากจะเป็นตัวแพร่เชื้อโรคต่อไปได้จึงใช้วิธีทำลาย

การป้องกันในภาวะปกติ

    1. สร้างโรงเรือนแบบปิด หรือใช้มุ้งและตาข่ายคลุม เพื่อป้องกันนกเข้ามากินอาการ ถ่ายมูลและสัมผัสกับสัตว์ปีก 

ทำความสะอาดในโรงเรือนหรือเล้า กำจัดเศษอาหารเพื่อป้องกันให้สัตว์อื่นๆ เช่น นก หนู ที่อาจนำเชื้อโรคเข้ามา
    2. เจ้าของสัตว์ปีกต้องเฝ้าระวังอาการป่วยในสัตว์ปีกที่เลี้ยงอยู่ หากพบมีอาการป่วยให้แจ้ง        สัตวแพทย์ท้องที่ไปตรวจวินิจฉัยทันที
    3. ดูแลป้องกันตนเอง โดยเฉพาะเด็ก ไม่ให้สัมผัสสัตว์ป่วยหรืออุปกรณ์การเลี้ยง เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อและติดโรคได้ 

ควรหมั่นล้างมือทุกครั้งเมื่อจะรับประทานอาหาร
    4. หากจำเป็นต้องขนย้ายสัตว์ปีกให้ติดต่อขอใบอนุญาตเคลื่อนย้ายจากสัตวแพทย์ท้องที่
    5. หมั่นติดตามสภาวะการระบาดและปฏิบัติตามคำแนะนำของทางราชการ

การควบคุมป้องกันในภาวะมีการระบาด
 1. ในฝูงสัตว์ที่เกิดโรค ต้องทำลายสัตว์ปีกทั้งหมด
 2. ทำความสะอาดและพ่นยาฆ่าเชื้อโรคให้ทั่วฟาร์มหรือพื้นที่เลี้ยงและบริเวณโดยรอบ
 3. ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกและซากสัตว์ปีกทุกชนิดในรัศมี 10 กิโลเมตรจากจุดเกิดโรค


โรคนิวคาสเซิล (Newcastle)


สาเหตุ

     เกิดจากเชื้อเอเวียนพารามิกโซไวรัส ซีโรไทป์ 1 มีคุณสมบัติในการจับกลุ่มตกตะกอนกับเม็ดเลือดแดง (hemagglutination) 
ซึ่งคุณสมบัตินี้มีประโยชน์ในการชันสูตรโรค ความต้านทานของไวรัสในสิ่งแวดล้อม 

การติดต่อ
     การหายใจ การกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน เกิดในไก่ทุกอายุ
ระยะฟักตัว
     ระยะฟักตัวของโรคตามธรรมชาติ 2-15 วัน หรืออาจนานกว่า 15 วันก็ได้ โดยทั่วไปเฉลี่ย 5-6 วัน
อาการสำคัญ
     ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์เชื้อ ชนิดรุนแรงจะทำให้ไก่ตายเป็นจำนวนมากทันที โดยจะแสดงอาการทางระบบหายใจ หายใจลำบาก 
มีเสียงดัง ไอ จาม ซึม เบื่ออาหาร ตัวสกปรก ทวารหนักเปื้อนอุจจาระ กล้ามเนื้อสั่น หัวสั่น คอบิด ปีกตก 
อัมพาตก่อนตาย เดินโซเซล้มลง ไก่ที่แสดงอาการทางประสาทแล้วจะไม่รอด อัตราการเป็นโรค 60-100 เปอร์เซ็นต์ 
ไก่ที่รอดจะแคระแกร็น คอบิด ปีกตกตลอดอายุ



 

ไก่มีอาการทางระบบประสาท เช่น คอบิด และขาเป็นอัมพาต


 

ท้องเสีย ถ่ายเป็นสีเขียว                       การอักเสบของเยื่อตา


 

จุดเลือดออกที่ระบบทางเดินอาหาร


 

1) พบจุดเลือดที่ลำไส้ 2) กระเพาะบด  4) กระเพาะแท้  3) รังไข่ฝ่อ  5) หลอดลมอักเสบแดง

การรักษา/ป้องกัน


     ไม่มีการรักษาโดยตรง อาจให้วิตามินและสารอิเลคโตรไลท์ละลายน้ำให้ไก่กิน ไก่จะฟื้นโรคได้เร็วขึ้นและร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะเช่น
 ยาซัลฟาละลายน้ำให้กินเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย การป้องกันสามารถทำได้โดยการทำวัคซีน


โรคฝีดาษ (fowl pox)

สาเหตุ
       เกิดจากโฟวล์พ็อกไวรัส
การติดต่อ
        โดยการสัมผัส เช่น อยู่รวมฝูงกัน ทางบาดแผลหรือรอยขีดข่วน หรือไวรัสจากไก่ป่วยปะปนในน้ำและอาหาร 

ยุงหรือแมลงดูดเลือดเป็นพาหะของโรค
ระยะฟักตัว
        ระยะฟักตัวไม่แน่นอน พบว่าปกติจะอยู่ประมาณ 4-10 วัน
อาการสำคัญ        ฝีดาษแห้ง เป็นตุ่มนูน หรือสะเก็ดบริเวณผิวหนังที่ไม่มีขน เช่น หัว คอ รอบทวาร ขา
 ฝีดาษเปียก มักเป็นแผ่นนูนสีเหลือง พบภายในปาก ไซนัส โพรงจมูก คอ กล่องเสียง หลอดลมมีผลต่อการหายใจ 

การกลืนอาหาร ทำให้ไก่ตายได้

 
สะเก็ดแผลแห้งที่บริเวณใบหน้า
หงอน เหนียง (ผีดาษแห้ง)
 
หลอดลมอักเสบอย่างรุนแรง
หลอดลมมีเลือดออก (ฝีดาษเปียก)

การรักษา/ป้องกัน       ใช้ทิงเจอร์ทาที่ฝีวันละ 1-2 ครั้ง (ระวังเข้าตาไก่) ให้ยาปฏิชีวนะละลายน้ำให้กินเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน
 รวมทั้งไวตามินเกลือแร่ ช่วยให้ไก่แข็งแรงขึ้น ไก่ที่หายจากการเป็นโรคจะมีภูมิคุ้มตลอดอายุ การป้องกันทำได้โดยการทำวัคซีน
โดยไก่ที่ได้รับวัคซีนจะมีความคุ้มโรคนาน 1 ปี


 โรคอหิวาต์เป็ด-ไก่ (Fowl cholera)


สาเหตุ

    เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ พาสจูเรลล่า มัลโตซิด้า

การติดต่อ
    ติดต่อโดยตรงจากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน การหายใจ การแพร่เชื้อผ่านไข่ หรือพาหะ
ระยะฟักตัว
    2 สัปดาห์
อาการสำคัญ
    ทั้งรุนแรง และเรื้อรังแต่ส่วนมากมักเป็นรุนแรง ทำให้ไก่และเป็ดตายอย่างรวดเร็ว โดยไม่แสดงอาการให้เห็น ในบางรายที่ไม่ตายทันทีทันใด 
จะป่วย หงอยซึม เบื่ออาหาร นอนหมอบ อุจจาระเหลวสีเขียวปนเหลือง หายใจไม่สะดวก กระหายน้ำจัด ไก่จะมีหงอนและเหนียงสีคล้ำ
และตายใน 2-3 วัน หรืออาจพบไข้สูง มีน้ำมูก น้ำลายไหลเป็นเมือก หัวตก หน้าและหงอนสีม่วงคล้ำ หายใจลำบากและถี่ เบื่ออาหาร 
กระหายน้ำ ท้องร่วง ขนร่วง ต่อมาในไก่หรือเป็ดที่ตาย เมื่อเปิดซากดูพบว่ามีจุดเลือดที่หัวใจ และที่ตับจะมีจุดเนื้อตายเล็กๆ 
มีขาวคล้ายผงชอล์กกระจายอยู่ทั่วไปบนเนื้อตับ ที่ลำไส้จะบวมพอง อักเสบแดง ชนิดเรื้อรังเป็ดจะมีอาการป่วยนานเป็นเดือนๆ
มีอาการหงอยซึม พบลักษณะบวมที่เหนียง โพรงจมูก ข้อขา ข้อปีก ฝ่าเท้าและบริเวณก้น ตาแฉะ หายใจหอบ


 
ตับจะมีจุดเนื้อตายเล็กๆ สีขาวคล้ายผงชอล์กกระจายอยู่
 
ก้อนหนองที่บริเวณหัว





การรักษา/ป้องกัน

    ยาปฏิชีวนะ เช่น เจนตามัยซิน เอ็นโรฟล้อกซาซิน หรือให้ยาซัลฟาละลายน้ำให้กิน ติดต่อกัน 2-3 วัน 
การป้องกันสามารถทำได้โดยการทำวัคซีน
  
โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ (Infectious Bronchitis)

        เกิดจากโคโรนาไวรัส เป็นไวรัสอาร์เอ็นเอชชนิดสายเดี่ยว ไวรัสชนิดนี้มีความไวต่อยาฆ่าเชื้อโรคทั่วไป และไม่ก่อโรคในคน
 เป็นโรคติดต่อทางระบบหายใจ เป็นได้ในไก่ทุกอายุ แต่โรคจะรุนแรงในลูกไก่ ส่วนไก่ใหญ่ไม่แสดงอาการป่วย แต่อัตราไข่จะลดลง
การติดต่อ       ไก่ได้รับเชื้อโดยการหายใจหรือจากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปน รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือและเครื่องใช้ 
ระยะฟักตัว      ไก่จะแสดงอาการป่วยภายหลังจากได้รับเชื้อ 18-36 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อและทางที่ได้รับ 
อาการสำคัญ
        ไก่แสดงอาการทางระบบหายใจเป็นหลัก โดยมีอาการหายใจแบบเสียงกรน ไอ จาม และมีน้ำมูก ซึ่งอาการเหล่านี้มีความรุนแรงในลูกไก่ 
จะทำให้ไข่ลดในช่วงท้ายๆ ของการไข่ เปลือกไข่ และรูปร่างไข่ผิดปกติ หรือไม่ไข่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์

ไก่ป่วยจะเป็นตัวแพร่โรคได้ เนื่องจากมีเชื้อโรคอยู่ในตัวไก่ได้นาน การติดเชื้อผ่านไข่อาจเกิดขึ้นได้
โดยทั่วไปการติดเชื้อตามธรรมชาติมีระยะฟักตัวของโรคอย่างน้อย 36 ชั่วโมง
ลูกไก่อาจตายเพราะมีน้ำเมือกอุดอยู่ในหลอดลม ส่วนในไก่ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้อัตราการตายจะน้อย แต่จะมีผลกระทบเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ 

 
ไก่ป่วยด้วยหลอดลมอักเสบแสดงอาการอ้าปากหายใจ
 
หลอดลมมีหนองอุดตัน มีเมือกในท่อลม

การรักษา/ ป้องกัน      ไม่มีการรักษา การป้องกันสามารถทำได้โดยการทำวัคซีน 


      

      




         

1 ความคิดเห็น:

  1. ไก่ขนสีขาวกับไก่ขนสีดำในสายพันธ์เดียวกันจะมีน้ำต่างกันกี่เปอร์เซนต์คะ

    ตอบลบ